ถอดรหัสความลับที่ซ่อนอยู่ใต้ความสำเร็จของโมโม พาราไดซ์ แบรนด์บุฟเฟ่ต์สุกียากี้-ชาบูชาบูสไตล์ญี่ปุ่นต้นตำรับเบอร์หนึ่งของเมืองไทย ที่จัดทัพเดินหน้าเกี่ยวก้อยพันธมิตรซึ่งพร้อมเคียงข้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนเส้นทางแห่งการรักษาคุณภาพของอาหารและบริการเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้ามาตลอด 10 ปี
คุณเอ สุรเวช เตลาน Managing Director, บริษัท โนเบิลเรสเตอท์รองต์ จำกัด หัวเรือใหญ่แห่งโมโม พาราไดซ์ (Mo-Mo-Paradise) ย้อนกลับไปถึงแรงบันดาลใจเริ่มต้นในการนำพาแบรนด์บุฟเฟ่ต์สุกียากี้-ชาบูชาบูชื่อดังแห่งแดนอาทิตย์อุทัยมาสู่ประเทศไทยให้ฟังว่า โมโม พาราไดซ์ ในประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นที่กรุงโตเกียวมาตั้งแต่ปี 1993 ซึ่งชูจุดเด่นด้านคุณภาพคุ้มค่าในราคาจับต้องได้มาตั้งแต่แรก ประกอบกับได้เชฟผู้เชี่ยวชาญด้านการทำชาบูชาบูจากร้านพรีเมียมชื่อดังอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น มารับหน้าที่สร้างสรรค์และควบคุมดูแลไลน์อาหารทั้งหมดของแบรนด์ และด้วยความโดดเด่นครบมิติตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกวัตถุดิบที่สดสะอาดคุณภาพดี เมนูที่ปรุงอย่างพิถีพิถันจนได้อรรถรสที่ดี ไปจนถึงการบริการที่มีมาตรฐานน่าประทับใจ ทำให้โมโม พาราไดซ์ เติบโตอย่างก้าวกระโดดจนมีสาขามากถึง 40 แห่งทั่วโตเกียวและจังหวัดใกล้เคียง และขยายตัวต่อเนื่องในหลายประเทศในเวลาต่อมา
คุณเอเล่าว่า ส่วนตัวแล้วชื่นชอบและค่อนข้างคุ้นเคยกับสุกี้สไตล์ญี่ปุ่นมาตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศ พอกลับมาเมืองไทยก็มีแผนอยากเป็นเจ้าของธุรกิจจึงมองหาช่องว่างในตลาด ด้วยความโชคดีที่มีโอกาสไปทานโมโม พาราไดซ์ ที่ญี่ปุ่น และถูกใจทั้งรสชาติและระบบการจัดการหน้าร้านที่มีมาตรฐานของแบรนด์ เมื่อกลับมาจึงลองศึกษาตลาดร้านสุกี้-ชาบูตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ และพบว่า ณ ตอนนั้นยังไม่มี จึงตัดสินใจเข้าไปติดต่อที่บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเพื่อขอนำแบรนด์โมโม พาราไดซ์มาเปิดที่เมืองไทย
“ช่วงแรกๆ ที่ติดต่อไปยอมรับว่าค่อนข้างหนักใจ เพราะมีผู้ประกอบการหลายรายที่มีประสบการณ์ในธุรกิจร้านอาหารติดต่อเข้าไปเพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์แบรนด์โมโม พาราไดซ์ไปเปิดในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ไต้หวัน เซี่ยงไฮ้ เวียดนาม อเมริกา รวมถึงประเทศไทย ซึ่งผมเองเป็นน้องใหม่ ที่ไม่เคยจับธุรกิจร้านอาหารมาก่อนเลย เรียกได้ว่ามีเพียงใจรักและความมุ่งมั่นเท่านั้น แต่ในที่สุดเราก็ชนะใจเขาได้ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์ในเมืองไทย และสร้างร้านโดยถอดแบบมาจากทางญี่ปุ่นได้ครบถ้วนทุกกระเบียดและไม่มีการปรับเปลี่ยนรสชาติเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าชาวไทย รวมถึงตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่คุ้นชินกับรสชาติญี่ปุ่นแท้ๆ เพราะผมเชื่อว่าความอร่อยแบบต้นตำรับ 100 % จะมัดใจลูกค้าในเมืองไทยและสามารถประสบความสำเร็จเหมือนที่ญี่ปุ่นได้อย่างแน่นอน แต่ความต่างเดียวที่เห็นได้ชัดก็คือ การตกแต่งร้าน ที่เจ้าของแบรนด์เปิดกว้างให้เราได้ปรับให้เข้ากับไลฟสไตล์ลูกค้าในเมืองไทย ซึ่งเราใช้ดีไซเนอร์คนเดียวกับที่ญี่ปุ่นเพียงแต่ปรับความรู้สึกให้ดูโปร่ง โล่ง เสริมกลิ่นอายญี่ปุ่นร่วมสมัยเข้าไปเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย ไม่อึดอัด และเป็นกันเอง จนกลายเสน่ห์ของโมโม พาราไดซ์ในเมืองไทย”
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาการรักษามาตรฐานด้านคุณภาพและรสชาติดั้งเดิม ถือเป็นกุญแจสำคัญที่คุณเอและทีมงานทุกคนยึดมั่นในการทำธุรกิจมาตลอด บวกกับความกระตือรือร้นในการสร้างวัฒนธรรมและระบบในองค์กรไปจนถึงการเทรนนิ่งพนักงาน ส่งผลให้โมโม พาราไดซ์ มีจุดยืนชัดเจนในตลาด สามารถสร้างโอกาสการแข่งขันและความภักดีต่อแบรนด์ให้เกิดแก่กลุ่มลูกค้าได้อย่างมีศักยภาพ
ผู้สื่อข่าวสายธุรกิจอาหาร ที่นำเสนอเรื่องราวของธุรกิจ ตลอดจนมุมมองธุรกิจจากเชฟและเจ้าของธุรกิจที่น่าสนใจ