เชฟโอลิวิเย ลิมูแซง เชฟมิชิลินสตาร์

เชฟโอลิวิเย ลิมูแซง

ด้วยความหลงใหลการทำอาหารบวกกับความชื่นชอบที่ได้สัมผัสกับลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ที่เกิดและเติบโตในเมืองวองเด ประเทศฝรั่งเศส ผู้ที่ชื่นชอบการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจกลายเป็นเชฟอาหารฝรั่งเศสมืออาชีพ

เชฟโอลิวิเย ลิมูแซง
เชฟโอลิวิเย ลิมูแซง

เชฟโอลิวิเย ลิมูแซง บอกกับ TRN แทบจะทันทีเมื่อถามถึงแรงบันดาลในในการทำอาหารว่า “การทำอาหารในแต่ละวันไม่ใช่การทำงานแต่เป็นความหลงใหล” ซึ่งตลอด 24 ปีที่ผ่านมากับความสุขและรอยยิ้มของลูกค้า ทำให้หัวใจของเชฟหนุ่มชาวฝรั่งเศสคนนี้พองโตทุกครั้งที่ได้เห็น

เชฟโอลิวิเย เริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 18 ปีกับร้านอาหาร เลอ เบลกูร์ ซึ่งเป็นร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 1 ดาว ตามด้วยร้านอาหาร ลังฟิเคลอส์ ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 2 ดาว ซึ่งเป็นร้านอาหารที่เชฟเริ่มต้นจากตำแหน่งผู้ช่วยพ่อครัวและเติบโตในสายงานไปจนถึงตำแหน่งซูเชฟ หลังจากนั้นก็ย้ายไปทำงานกับร้านอาหาร ไตวอง ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาว ก่อนที่จะกลับไปประจำร้านอาหารเลอ เบลกูร์ ในตำแหน่งเชฟพร้อมกับดาวมิชลินสตาร์ดวงแรกและก่อนหน้าที่เชฟ จะมาประจำที่ร้านอาหาร “ลัตเตอลิเย กรุงเทพฯ” เชฟได้มีโอกาสทำงานกับร้านอาหารลัตเตอลิเย ลอนดอน ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2006 ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้เชฟได้เป็นเชฟระดับ มิชลินสตาร์ 2 ดาว และก่อนหน้านั้นเชฟมีส่วนร่วมในการเปิดร้านอาหาร ลา ตาเบลอะ เดอ โจเอล โรบูชง ในกรุงปารีส เมื่อปี 2003 ซึ่งเป็นร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 2 ดาว รวมทั้งมีส่วนร่วมในการเปิดร้านอาหารลัตเตอลิเย สาขากรุงปารีสอีกด้วย

ความน่าประทับใจอย่างหนึ่งในการมาดูแลที่ “ลัตเตอลิเย กรุงเทพฯ” นั้น เชฟโอลิวิเยบอกว่า ด้วยบรรยากาศของร้านและการออกแบบตกแต่งทำให้ที่นี่ได้สัมผัสกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด ได้รู้ว่าลูกค้าชอบและไม่ชอบอะไร และการได้สัมผัสกับลูกค้าโดยตรงอย่างนี้ ทำให้ทั้งตัวเชฟและพนักงานทุกคนสามารถสร้างสรรค์และพัฒนาได้อย่างเต็มที่เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าทุกท่านที่มาเยือน สำหรับอาหารของที่ร้านต้องขอบอกว่าเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบและการนำเสนอเมนูแต่ละจานที่เน้นอาหารเพื่อสุขภาพชนิดที่เรียกว่าสร้างความน่าประทับใจกันแบบจานต่อจานกันเลยทีเดียว

เมนูที่เชฟโอลิวิเย นำเสนอเริ่มจาก LE KALE เจลลี่สองชั้นที่ทำมาจากคะน้าและมะเขือเทศ เมนูนี้จัดว่าเป็น “อามูส บุช” (Amuse bouche) หรืออาหารเรียกน้ำย่อยในภาษาฝรั่งเศสนั่นเองด้านล่างเป็นเจลลี่มะเขือเทศ ด้านบนเป็นเจลลี่คะน้าที่ให้ความหวานและโรยด้วยขนมปังกรอบชิ้นเล็กที่ผสมด้วยขมิ้น เสิร์ฟมาในแก้วเล็กขนาดน่ารัก ทานแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นแบบเบาๆ ก่อนจานหลัก ซึ่งตามภัตตาคารใหญ่เมนู Amuse bouche เป็นเมนูที่เราไม่ต้องสั่ง แต่เชฟใหญ่จะเตรียมไว้เพื่อเสิร์ฟลูกค้าระหว่างรออาหารจานหลัก ซึ่งเชฟใหญ่แต่ละท่านก็จะแสดงฝีมือรังสรรค์เมนูต่างๆ ออกมาอย่างไม่ซ้ำกันเลยทีเดียว

L'Atelier de Joël Robuchon
L’Atelier de Joël Robuchon

จานต่อมาเป็น LE CAVIAR IMPERIAL DE SOLOGNE อร่อยเต็มคำกับเจลลี่กุ้งล็อบสเตอร์ที่ผสานกับเนื้อปูและซอสยี่หร่าพอดับกลิ่นคาว ด้านบนเป็นไข่ปลาคาเวียร์ เสิร์ฟมาในตลับสีดำหรูหรา ตักรับประทานพร้อมกันทั้ง 3 ชั้น ต้องบอกว่าใครที่ชื่นชอบไข่ปลาคาเวียร์ แล้วหล่ะก็ เป็นรสชาติที่ลงตัวทีเดียว

LE CAVIAR IMPERIAL DE SOLOGNE
LE CAVIAR IMPERIAL DE SOLOGNE

จานก่อนของหวานเป็น LA CAILLE เนื้อนกกระทาสอดไส้ด้วยตับห่านเนื้อนุ่ม รสชาติลงตัวเสิร์ฟมาพร้อมกับมันบดและสลัดสมุนไพรเล็กน้อยพอคำ

LA CAILLE
LA CAILLE

ปิดท้ายกันด้วยเมนูของหวานเหมาะสำหรับคนที่หลงใหลช็อกโกแลต LE CHOCOLAT TENDANCE ความหวานและความขมผสานกันอย่างเข้มข้น ลงตัว กับช็อกโกแลต 3 แบบ 3 สไตล์ Araguani chocolate mousse , Dark Chocolate sorbet และ Oreo crumb เนื้อมูสของช็อกโกแลตไอศกรีม ให้รสชาติที่นุ่มละมุมลิ้นเรียกว่าละลายไปเลย ใครที่ชื่นชอบช็อกโกแลต ขอบอกว่าต้องได้มาลองสักครั้ง

LE CHOCOLAT TENDANCE
LE CHOCOLAT TENDANCE

ก่อนร่ำลากันอย่างเป็นกันเองวันนี้เชฟโอลิวิเย ทิ้งท้ายไว้กับทีมงานว่า ไม่ว่าจะอาชีพไหน เราควรมีความสุขที่อยู่กับมันและคุณจะรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากกว่าการทำงาน ซึ่งมันจะส่งผ่านความสุขไปยังคนรอบข้างตัวคุณ และการได้มาเป็นเชฟปรุงอาหารถือเป็นโอกาสในการเดินทางไปทั่วโลก เป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับและน่าภาคภูมิใจอย่างมาก

สถานที่ L’Atelier de Joël Robuchon Bangkok
ชั้น 5 อาคารมหานคร คิวบ์ (BTS ช่องนนทรี)
โทร 02-001-0698
www.robuchon-bangkok.com