DGB ทัคคาลบี้ ผัดร้อนเต็มคุณภาพสไตล์เกาหลี

เพื่อตอกย้ำตำแหน่งเจ้าตลาดอาหารเกาหลี ผู้บริหารคลื่นลูกใหม่แห่งดัคกาลบี้ กรุ๊ป จึงเปิดตัวคอนเซ็ปต์ล่าสุดผ่านแบรนด์ DGB มาสร้างสีสันและความสนุกสนานให้ลูกค้าเพลิดเพลินไปกับมิติใหม่ของมื้ออาหารที่เติมเต็มประสบการณ์ทุกสัมผัสฉบับเกาหลี

7 ปีก่อนชื่อของ Dak Galbi (ทัคคาลบี้) เป็นที่รู้จักในฐานะร้านอาหารเกาหลีสไตล์ผัดร้อนใจกลางสยามซึ่งสร้างปรากฎการณ์สั่นสะเทือนวงการอาหารเกาหลีในประเทศไทยด้วยรูปแบบอาหารแนวใหม่ภายใต้สโลแกน “ผัดร้อน…อร่อยฮ็อต” ที่ตอบโจทย์ครบทุกองค์ประกอบได้อย่างน่าประทับใจทั้งเรื่องความอร่อย บรรยากาศ และการบริการ รวมถึงมีการพัฒนามาตรฐานต่อเนื่องจนขยายฐานความนิยมและเติบโตเป็นเบอร์หนึ่งในปัจจุบัน

เพื่อตอกย้ำตำแหน่งเจ้าตลาดอาหารเกาหลี ผู้บริหารคลื่นลูกใหม่แห่งดัคกาลบี้ กรุ๊ป จึงเปิดตัวคอนเซ็ปต์ล่าสุดผ่านแบรนด์ DGB มาสร้างสีสันและความสนุกสนานให้ลูกค้าเพลิดเพลินไปกับมิติใหม่ของมื้ออาหารที่เติมเต็มประสบการณ์ทุกสัมผัสฉบับเกาหลี หรือ New Age of K-Cult โดยได้สองผู้บริหารคู่พี่น้องมากความสามารถ คุณนุ๊ก ทศพร วณิชวรพงศ์, รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด คุณนิค สถาพร วณิชวรพงศ์, ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและสื่อ เป็นตัวแทนอัพเดทความเคลื่อนไหวและก้าวต่อไปของกรุ๊ปให้ฟังอย่างเป็นกันเอง

“ไอเดียการเปิด Dak Galbi เริ่มขึ้นในช่วงน้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ซึ่งตอนนั้นมหาวิทยาลัยปิดจึงเดินทางไปเที่ยวที่เกาหลี และได้ลิ้มลองไก่ผัดซอสกระทะร้อนหรือที่เรียกว่า ทัคคาลบี้ เป็นครั้งแรก ผมถูกใจกับรสชาติที่เข้มข้นและรูปแบบการบริการที่แปลกใหม่มาก พอกลับมาเมืองไทยจะหาเมนูนี้กินก็ไม่มีใครขาย ด้วยช่องว่างในตลาดร้านอาหารเกาหลีที่ยังไม่หลากหลาย รวมกับกระแสดนตรีและซีรีย์เกาหลีที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงนั้น ผมจึงตัดสินใจไปเกาหลีอีกครั้ง เพื่อเสาะหารสชาติทัคคาลบี้ที่ถูกปากที่สุดและศึกษาขั้นตอนการทำอย่างจริงจังอยู่ร่วมเดือน ก่อนจะนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาสูตรให้เหมาะกับรสนิยมของลูกค้าชาวไทย และเปิดตัว Dak Galbi สาขาแรกขึ้น บริเวณถนนอังรีดูนัง สยามสแควร์ โดยเจาะกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างทันสมัย มีกำลังซื้อ และมีประสบการณ์กับอาหารประเภทนี้มาแล้ว” คุณนุ๊ก กล่าวว่านี่คือครั้งแรกของการทำธุรกิจที่เริ่มจากศูนย์ และความที่เป็นธุรกิจร้านอาหารเกาหลีน้องใหม่ที่นำเสนออาหารรูปแบบใหม่ด้วยแล้วยิ่งเป็นบททดสอบที่ท้าทายสูงมาก แต่ด้วยความกล้าที่จะลงมือทำ การพัฒนาตัวเองให้วันนี้ดีกว่าเมื่อวานเสมอ และพร้อมที่จะเสี่ยงแบบวัยรุ่นมีของ รวมถึงได้เพื่อนพ้องและครอบครัวเป็นแรงหนุนชั้นดี โดยเฉพาะน้องชายอย่างคุณนิคร่วมกับหุ้นส่วนอีก 2 ท่านที่ลงขันความเชี่ยวชาญที่ต่างกันแต่กลับเป็นส่วนผสมที่ทำให้เกิดทีมบริหารที่ยอดเยี่ยมและพร้อมเดินหน้าพัฒนาให้ร้านมีมาตรฐานที่ดีที่สุดในทุกด้านตั้งแต่คุณภาพและรสชาติอาหาร

บรรยากาศของร้านที่อบอุ่นเป็นกันเอง การบริการที่เอาใจใส่ และภาพลักษณ์ของทีมงานรุ่นใหม่ที่ดูดี ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบที่ร้อยเรียงกันจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของ Dak Galbi ที่ลูกค้าประทับใจจนเกิดกระแสบอกต่อผ่านโซเชียล มีเดียอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะอินสตราแกรมและยูทูปชาแนลจากยูทูปเบอร์ในยุคแรก ๆ ที่เป็นแรงหนุนให้ร้านประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว

คุณนิคกล่าวต่อว่า ด้วยผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดที่ได้กลับมาหลังจากเปิดร้านไม่นาน ทีมเราจึงมีความคิดที่จะขยายแบรนด์ในรูปแบบเชน เรสเตอร์รองค์ ซึ่งด้วยการวางระบบการบริหารจัดการที่มีมาตรฐาน ทำให้ค่อนข้างพร้อมสำหรับการขยายสาขาต่อไป ประจวบเหมาะกับได้โอกาสที่ทาง CPN เสนอพื้นที่ให้ เราจึงเริ่มทำแผนธุรกิจอย่างจริงจัง วางระบบครัวกลาง และสร้างออฟฟิศขึ้น เพื่อรองรับการขยายการเติบโต โดยตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ปีละประมาณ 2-3 แห่ง โดยปัจจุบัน Dak Galbi มีทั้งหมด 6 สาขาในกรุงเทพฯ และเพิ่งเปิดตัวร้านคอนเซ็ปต์ใหม่ DGB สาขาแรกไปเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา เพราะเรามองว่าถึงเวลาแล้วที่จะปรับลุคแบรนด์ให้ดูทันสมัย สนุกสดใส เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่มีอายุ 18-25 ปีในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ดั้งเดิมเอาไว้สำหรับรองรับกลุ่มลูกค้าที่โตมาพร้อมกับแบรนด์ของเรา

แฟล็กชิพ สโตร์ แห่งแรกของ DGB อยู่ที่ ลิโด้ คอนเน็คท์ สยามสแควร์ โดยถูกพัฒนามาจากความต้องการของกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมแดนกิมจิอย่างแท้จริง ซึ่งเน้นการมอบประสบการณ์พิเศษมากกว่ามื้ออาหารที่ผสานเสน่ห์สไตล์เกาหลีในทุกประสาทสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตกแต่งร้านด้วยสีสันสดใสและการแบ่ง Stage ต่าง ๆ อาทิ DGB. STAGE โชว์ลีลาการปรุงอาหารในครัวเปิด SIDES STAGE มุมตักเครื่องเคียงได้ตามใจที่ลูกค้าเลือกตักเติมได้ไม่อั้น ส่วน DRINKS STAGE ที่จะมาสร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มให้ทุกคนได้ดื่มด่ำ ฯลฯ กิจกรรมต่าง ๆ อย่างเกมส์เต้นและบูธดีเจที่เตรียมมาเพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับลูกค้า

ไฮไลท์สำคัญอย่างอาหารที่โดดเด่นทั้งหน้าตา รสชาติ และวัตถุดิบระดับพรีเมียมอย่างไก่เบญจา กุ้งล็อบสเตอร์แคนาดา หอยเชลล์ฮอกไกโด เนื้อปู และเนื้อวากิว ซึ่งสามารถเลือกลิ้มลองความอร่อยได้หลากหลายถึง 4 รสชาติในกระทะเดียวทั้งซอสคาลบี้ ซอสบูลโกกิ ซอสแอปเปิ้ล เคอรี่ และซอสครีมมี่ ชีสซี่ โดยซิกเนเจอร์เมนูของ DGB คือ ไก่ผัดซอสคาลบี้ ที่ได้อรรถรสแสนกลมกล่อมของซอสคาลบี้คลุกเคล้าความนุ่มเด้งชุ่มฉ่ำของเนื้อไก่เบญจา ไก่ปลอดสารคุณภาพพรีเมียม และ จิมทัค เมนูพิเศษที่ใช้ไก่เบญจาตุ๋นจนเข้าเนื้อทานคู่วุ้นเส้นเหนียวนุ่มและผักสดนานาชนิด

ด้านการพัฒนาเมนูอาหารให้มีเอกลักษณ์นั้น คุณนุ๊กรับหน้าที่ดูแลงานด้านนี้ด้วยตัวเอง โดยยืดถือความซื่อสัตย์ต่อสุขภาพลูกค้าเป็นหัวใจ ทำให้ร้านอาหารทุกแบรนด์ในเครือดัคกาลบี้ กรุ๊ป ให้ความสำคัญทั้งเรื่องของการสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปพร้อมการคัดสรรวัตถุดิบที่พิถีพิถันเพื่อเฟ้นหาของคุณภาพดี สดใหม่ สะอาด ปลอดภัย ถูกสุขลักษณะ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ “ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องขอบคุณซัพพลายเออร์มืออาชีพ พาร์ทเนอร์สำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจเรื่องคุณภาพวัตถุดิบที่ได้มาตรฐานให้กับทางเรา โดยเฉพาะ ซีพีเอฟ ที่เป็นพันธมิตรในการซัพพลายวัตถุดิบคุณภาพยอดเยี่ยมรวมถึงช่วยสนับสนุนด้านการตลาดให้กับดัลกาลบี้ กรุ๊ป มาตั้งแต่สาขาแรก และล่าสุดกับผลิตภัณฑ์ไก่เบญจา ซึ่งเป็นสุดยอดวัตถุดิบหลักเกรดพรีเมียมที่ทางแบรนด์เลือกใช้ เพราะคุณภาพเนื้อไก่ที่หอม นุ่ม ชุ่มฉ่ำ โดดเด่นต่างจากเนื้อไก่ทั่วไป ซึ่งลงตัวสำหรับการรังสรรค์ทุกเมนูสไตล์เกาหลีได้อย่างไร้ที่ติ และเป็นครั้งแรกของโลกที่เลี้ยงไก่ด้วยข้าวกล้องพันธุ์ดี ซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบัน NSF ว่าไม่ใช้ฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดู ทำให้มั่นใจ 100 % ว่าปลอดสารและปลอดภัยอย่างแน่นอน”

ส่วนทิศทางของดัคกาลบี้ กรุ๊ป ในอนาคต คุณนุ๊กอธิบายว่าตั้งเป้าการต่อยอดไว้ทั้งแนวลึกและแนวระนาบ เพราะเทรนด์อาหารชาติต่าง ๆ เป็นวัฎจักรที่มีขึ้นมีลงและวนกลับมาทุก ๆ 3 ปี หรืออาจเร็วกว่านั้นในอนาคต โดยแต่ละแบรนด์มี Positioning ที่แตกต่างกัน และอาศัยกลยุทธ์การสร้างแรงกระตุ้นที่เหมาะสม ไล่เรียงจาก Dak Galbi ที่ภายในสิ้นปีจะเปิดที่เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ เป็นสาขาที่ 7 ส่วน DGB ก็มีแผนขยายเพิ่มอีก 3 แห่งในปีนี้เช่นกัน ได้แก่ เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว, ยูเนี่ยน มอลล์, เทอร์มินอล 21 อโศก

คุณนิคยังชี้ให้เห็นภาพว่าทั้งสองแบรนด์ยังมีโอกาสขยายตัวอีกมากในตลาดร้านอาหารเกาหลีเมืองไทย เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคยกับอาหารเกาหลี อีกทั้งสถานการณ์การแข่งขันในตลาดยังไม่สูงมากหากเทียบกับอาหารชาติอื่น และสำหรับอาหารเกาหลีประเภทนี้ปัจจุบันยังไม่มีคู่แข่งทางตรง แต่อย่างไรก็ดีนอกจากการขยายสาขาแล้ว ก็มีการพัฒนาเมนูอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเตรียมขยายพอร์ตอาหารเกาหลีจานด่วนเพื่อสนองตอบพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่เน้นความรวดเร็วและตอบโจทย์บริการเดลิเวอรี่ที่มีแนวโน้มความนิยมสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด นอกจากนั้นยังแตกแบรนด์ร้านอาหารประเภท QSR น้องใหม่ WOK Station ภายใต้คอนเซ็ปต์เอเชี่ยนสตรีทฟู้ดที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าย่านธุรกิจในเมือง โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโฟกัสการเติบโตครอบคลุมการขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ

“ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ จุดที่ยากที่สุดของการทำธุรกิจ คือ เรายังเด็กและไม่ใช่คนเก่งที่สุด ฉะนั้น เราต้องทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วเสมอและไม่หยุดที่จะพัฒนามาตรฐานให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วัน ทุกครั้งที่เราทำธุรกิจจากความชอบแล้วประสบความสำเร็จ เราก็มีความสุข สุขเพราะเลือกที่จะลงมือทำ และได้ส่งต่อความสุขที่ผสมผสานเป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ด้วยความตั้งใจให้กับลูกค้าของเรานั่นเอง” ผู้บริหารทั้งสองกล่าวปิดท้าย

FB/IG : DakGalbiThailand
FB/IG : DGB.dakgalbi